คดีหมอเสริม ฆ่าเจนจิรา คดีสุดแสนอำมหิตเล่าขานไม่รู้ลืม
คดีหมอเสริม ประวัติ นายเสริม สาครราษฎร์ เด็กชายอายุ 15 ปี จากจังหวัดชลบุรี สามารถสอบเอ็นทรานซ์ เข้าคณะวิศวกรรมศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยได้ เด็กที่เก่งอัจฉริยะของคนไทย ณ เวลานั้น และ 5 ปีต่อมา นายเสริมสามารถสำเร็จการศึกษาได้เป็น วิศวกรรมศาสตรบัณฑิต สมใจ
และหลังจากนั้นไม่นาน ด้วยความเป็นอัจฉริยะทางสมอง คราวนี้เขาสอบติดคณะแพทยศาสตร์ ซึ่งกำลังได้เป็นทั้งวิศวกร และนายแพทย์ อันเป็นสองอาชีพที่น้อยคน นักจะสามารถทำได้ในคนๆ เดียว
ครอบครัวของนายเสริม สาครราษฎร์ นั้นถือได้ว่าเป็นครอบครัวที่มีฐานะดีพอสมควร แต่ชีวิตของนายเสริมนั้นค่อนข้างน่าสงสาร ค่อนข้างกดดันตั้งแต่เด็ก เขาเป็นเด็กที่เก็บกดมาก ๆ ไม่ค่อยพูดไม่ค่อยจา จนบางครั้งเขาเงียบจนดูน่ากลัว ดูท่าทางคิดอะไรอยู่ตลอด
สืบเนื่องมาจาก คุณพ่อของเขา เป็นคนที่เข้มงวด และเผด็จการมาก บังคับลูกทุกอย่าง แม้แต่ อนิเมะ แม่ของเขาเอ งก็ไม่สามารถมีปากมีเสียงได้ และแม่ของเขาก็ตามใจเขามากเช่นกัน เพราะสงสารลูกที่ถูกพ่อบังคับและทุบตีมาโดยตลอด
นายเสริมเป็นเด็กที่เรียนเก่งมาก เนื่องจากเวลาหลังเลิกเรียน ต้องไปเรียนกวดวิชาต่อจนค่ำมืดดึกดื่น ตั้งแต่เรียนหนังสือมา เขาเรียนได้ที่ 1 มาตลอด รางวัลเรียนดีอะไรต่ออะไรเต็มบ้านไปหมด กลายเป็นคนไม่มีสังคม ไม่มีเพื่อน
จนกระทั่งพอเขาเรียนจบมัธยม เสริมสามารถเรียนจบเร็วมาก เพราะเขาสอบเทียบหลายปี ความจริงแล้วเสริมอยากเรียนวิศวะ แต่พ่อต้องการให้เรียนหมอเขาก็ไม่เคยเถียง หรือพูดอะไรแต่พอถึงตอนเอ็นท์ฯ เขาก็ได้ไม่ทำตามคำสั่งของพ่อ
โดยการกรอกข้อมูลลงไปในคณะวิศวะ ของมหาวิทยาลัยชื่อดังแห่งหนึ่ง ผลปรากฎว่า เขาติดคณะวิศวะสมใจเขา พอคุณพ่อเสริมรู่เรื่องนี้เข้า เขาโกธรเขามาก และก็ไม่ยอมให้เสริมไปเรียน บอกว่าให้รอปีหน้าแล้วเอ็นท์ฯใหม่
ในระหว่างนั้นก็ทั้งทุบตี ด่าทอ ทุกอย่าง พอแม่เข้ามาช่วย แม่ก็พลอยโดนลูกหลงเข้าไปด้วย พ่อของเขาทั้งด่า และตีเขา อยู่ทุกวัน สุดท้าย… แม่เขาสงสารลูก ทนไม่ไหว จึงแอบส่งลูกไปเรียนมหาวิทยาลัยที่สอบติด และแอบส่งเงินให้ทุกเดือน ในขณะที่พ่อนั้น กลับเข้าใจว่า นายเสริมได้หนีออกจากบ้านไปแล้ว เขาจึงประกาศตัดพ่อตัดลูก
เสริมเรียนเก่งมาก เขาสามารถจบวิศวะ โดยใช้เวลาแค่ 2 ปีครึ่ง เขามักคอยถามกับว่า พ่อใกล้ตายหรือยัง เพราะระหว่างที่เรียนอยู่แม่เขาจะส่งข่าวมาตลอดว่าพ่อป่วยหนักเป็นมะเร็งขั้นสุดท้าย และ แม่เสริมได้อ้อนวอน ให้เขาเรียนหมอตามที่พ่ออยากให้เรียน โดยให้ถือซะว่าทำเพื่อแม่ แม่ของเขาขอร้อง ให้เขาเรียนหมออีกครั้ง อยู่นานจนเขาทนไม่ไหว ด้วยความที่รักแม่ จึงรับปากว่า เขาจะเอ็นท์ฯ และเรียนหมออีกครั้ง จะทำเพื่อแม่
ผลออกมาก็คือสอบติดตามระเบียบ แต่พ่อของเขาไม่สามารถ ที่จะอยู่เพื่อเห็น คดีหมอเสริม ความสำเร็จในสิ่งที่เขาพยายามเข้มงวดกวดขัน ที่อยากให้ลูกเป็นมาตลอดชีวิตได้ และที่นั้นเอง เขาก็ได้พบเจนจิรา ผู้หญิงที่เปลี่ยนแปลงชีวิตของเขาตลอดกาล
ความรักของเสริม กับ เจนจิรา พลอยองุ่นศรี จนสู่เหตุการณ์ไม่คาดคิด
นายเสริมคบหาดูใจกับ เจนจิรา พลอยองุ่นศรี แฟนสาววัย 22 ปี นักศึกษาแพทย์ปี 5 มหาวิทยาลัยเดียวกัน เส้นทางความรักของทั้งคู่ไร้ซึ่งอุปสรรค แต่ระยะหลังมักมีปัญหากระทบกระทั่งกับแฟนสาว เพราะความหึงหวงอยู่บ่อยครั้ง
30 มกราคม พ.ศ.2541 นายสมคิดและนางสุดา พลอยองุ่นศรี พ่อแม่ของเจนจิรา มีบ้านและกิจการค้าอยู่ที่ อำเภอสามพราน จังหวัดนครปฐม รู้สึกถึงความผิดปกติของเจนจิรา ได้รับโทรศัพท์จากยายของเจนจิราที่กรุงเทพฯ แจ้งมาว่า เจนจิราไม่กลับบ้าน แม้จะเรียกเพจเจอร์หลายครั้งแล้ว แต่เธอก็ไม่ติดต่อกลับมา
หัวอกของคนที่เป็นพ่อแม่ ย่อมหวาดวิตก และเป็นห่วงลูกสาวตามสัญชาติญาณ เจนจิรา เป็นเด็กสาวน่ารัก รูปร่างหน้าตาดี มีความประพฤติเรียบร้อย เป็นเด็กเรียนเก่ง ไม่เคยทำตัวเหลวไหลตอนกลางคืน จากการสอบถามไปถึงเพื่อนสนิทของเธอทุกคนแล้ว ก็ไม่ได้ข่าวคราวคืบหน้าของลูกสาวแต่อย่างไร
สมคิด ผู้เป็นพ่อ บอกกับพนักงานสอบสวนว่า ตั้งแต่ แทงบอลโลก บุตรสาวเข้ามาศึกษาต่อที่คณะแพทยศาสตร์ ได้พักอยู่กับยายที่ย่านฝั่งธนบุรี เป็นเด็กเรียบร้อย กลับตรงเวลา หากมีธุระที่ไหน จะแจ้งให้คนในครอบครัวทราบก่อน แต่เมื่อวันที่ 26 มกราคม กลับหายตัวไป ไม่มีใครสามารถติดต่อได้
จึงสงสัยว่า จะเกิดเหตุร้ายกับบุตรสาว และ บุคคลที่น่าสงสัยมากที่สุดคือ นายเสริม สาครราษฎร์ เนื่องจากอยู่กับลูกสาวเป็นคนสุดท้าย ประกอบกับบุตรสาวไม่เคยมีเรื่องทะเลาะเบาะแว้งหรือขัดแย้งกับใครมาก่อน
นายนเสริมได้ให้การกับเจ้าหน้าที่ว่า นัดพบเจนจิราจริง แต่หลังจากทะเลาะกัน เขาน้อยใจและขอตัวกลับหอพักก่อน จากนั้นก็ไม่พบเธออีกเลย ตำรวจตรวจตามร่างกาย และรถของเขา แต่ก็ไม่พบหลักฐาน พิรุธ หรือร่องรอยอะไรเพิ่มเติม จึงจำเป็นต้องปล่อยตัวเขาไป
7 วันถัดมา ทีมสืบสวนปักใจเชื่อว่า คดีหมอเสริม บุคคลที่น่าสงสัยมากที่สุดในคดีนี้คือเสริม สาครราษฏร์ แฟนสาวของเจนจิรา ต่อมาเขาถูก สอบสวนผ่านเครื่องจับเท็จ ผลที่ออกมาพบว่ามีหลายคำตอบ เขาตั้งใจโกหก และบ่งบอกพิรุธหลายอย่าง ให้การวกวนไปมา อีกทั้งก่อนหน้านี้ เสริมพยายามเดินทางไปที่สามพราน บ้านของเจนจิราบ่อยครั้ง แสดงความเป็นห่วงเป็นใยอย่างผิดสังเกตุ ต่อพ่อแม่ของเธอ
ชุดสืบสวนได้เบาะแส จากเพื่อนสนิทของนายเสริมว่า เมื่อวันที่ 27 มกราคม นายเสริมแวะไปหาที่บ้านพัก ย่านถนนจรัญสนิทวงศ์ และขอล้างรถยนต์นานนับชั่วโมง โดยเน้นทำความสะอาดที่ช่องเก็บของด้านหลังมากเป็นพิเศษ อีกทั้ง ยังมีเพื่อนบ้านของนายเสริมที่ จ.ชลบุรี ระบุว่า วันที่ 28 มกราคม นายเสริมกลับมาที่บ้านและนำสิ่งของบางอย่างมาเผาไฟ
ทางเจ้าหน้าจึงทำการสอบถามนายเสริม ปรากฎว่าเขามีท่าทีตกใจ แม้ตำรวจจะมีหลักฐานมากพอ แต่นายเสริมยังให้การปฏิเสธ จนต้องนำตัวเข้าเครื่องจับเท็จก็ยังปากแข็ง กระทั่งจำนนต่อพยานหลักฐาน ยอมรับสารภาพจนหมดเปลือกว่า ลงมือสังหาร แฟนสาวเพราะโกรธแค้นที่นอกใจเขาไปรักชายคนอื่น
สาเหตุหลักที่ นางสาวเจนจิรา ขอบอกเลิก กับนายเสริม
เพื่อปรับความเข้าใจเรื่องความรักที่ระหองระแหงก่อนหน้านี้ ทั้งคู่มีปากเสียงกันมาหลายครั้งหลายครา และยังตกลงเรื่องราวของความสัมพันธ์ในหัวใจที่ค้างคากันมานาน 2 ปีไม่สำเร็จ
เจนจิรา เธอยังยืนยันขอแยกทางกับเสริม เพราะรู้สึกว่าตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา นิสัยของฝ่ายชายเป็นเครื่องพิสูจน์เป็นอย่างดีว่า เข้ากันไม่ได้กับเธอ
เสริมตกใจกับคำปฏิเสธของหญิงสาว เขาตามง้อ อ้อนวอน เพราะเจนจิราเป็นผู้หญิงคนแรก ที่เขารักจนหมดหัวใจ
เขาเดินตามสาวคนรักมาที่ลานจอดรถ ที่ค่อนข้างเงียบสงัดและลับตาคน และตามไปนั่งคุยต่อในรถของฝ่ายหญิง เขาเกิดอารมณ์โกรธสุดขีด มันทำให้เขาขาดสติจนยั้งใจไม่อยู่ เมื่อพูดกันไม่รู้เรื่อง เขาลืมตัวบีบคอแฟนสาวจนตายคามือของเขา แต่เมื่อสติหวนคืนกลับ เสริมตกใจกลัวสุดขีด ข้อหาฆ่าคนตายโดยเจตนาน่ะมันรุนแรงแค่นั้นเขารู้ดี ชีวิตของเขา หน้าที่ การงานของเขา จะถูกทำลายเพราะถูกจับฐานฆ่าคนไม่ได้
เขานั่งรถข้างศพเจนจิรานาน 2 ชั่วโมง แล้วแผนการต่าง ๆ ก็ได้ปรากฎขึ้นมาในสมอง เขาคิดหาวิธีทำลายศพแฟนสาว ว่าจะทำอย่างไร เผา ทิ้งแม่น้ำ ฝังศพไว้ในป่าลึก เพราะถ้าไม่มีศพ ก็ไม่มีพยานหลักฐานที่เอาผิดได้
เขาขับรถเก๋งโตโยต้า โคโรน่า สีเขียว หมายเลขทะเบียน 8ษ-8580 กรุงเทพฯ ของเจนจิรา ออกลานจอดรถห้างเวิลด์เทรดในเวลาพลบค่ำ พาร่างที่ไร้วิญญาณของเจนจิราอยู่ในกระโปรงรถหลัง เขาตรงไปที่ประตูน้ำ และปลายทางลิ้นสุดลงที่ห้อง 156 ของโรงแรม 99 ในซอยรางน้ำ
หลังจากจ่ายค่าห้องแบบค้างคืนแล้ว เสริม สาครราษฏร์ ค่อย ๆ อุ้มศพของเจนจิรา เข้าไปในห้องน้ำ วางศพเธอที่แข็งตัวแล้วไว้ที่อ่างน้ำ ถอดเสื้อผ้าทุกชิ้นออก ตามปกติเสริมเป็นชอบพกมืด ขนาดยาวประมาณ 5 นิ้ว ไว้ในกระเป๋าสะพายติดตัวอยู่บ่อย ๆ มีดเล่มที่ลมกริบเล่มนั้น มันคือเครื่องมือสำคัญในการกำจัดศพของเธอ เขาค่อย ๆ เฉือนเนื้อของแฟนสาวออกเป็นชิ้นเล็ก ๆ ตามที่ร่ำเรียนมาจากคณะแพทย์ เขาเฉือนเสร็จ ก็ทิ้งลงในชักโคลก แล้วกดน้ำทิ้ง เขาทำเช่นนี้อยู่นาน 2 ชั่วโมง จนชักโคลกและท่อระบายน้ำเกรอะเริ่มอุดตัน
ผ่านไป 10 วัน มีรายงานเข้ามาว่า เสริมเปลี่ยนไปเป็นคนละคน เมื่อเขาเลิกเรียนแล้วก็กลับมาหมกตัวอยู่ในห้อง ไม่พูดคุยกับใคร กินข้าวก็กินในห้อง แทบไม่ออกไปไหนเลย วันที่ 27 มกราคม มีรายงานมาว่าเขากำลังเผาอะไรบางอย่างอยู่หลังบ้าน
ระหว่างที่เสริมสู้คดีหั่นศพในศาล 1 ปีเศษ อยู่ในช่วงสืบพยานโจกท์ ระหว่างนั้นเกิดสิ่งไม่คาดฝันขึ้น เมื่อตำรวจพบหลักฐานเพิ่มเติม งูเหลือม จำนวน 2 ตัวเลื้อยหลบหลีบและขึ้นไปซ่อนบนฝ้าเพดานใต้หลังคา ตำรวจสามารถจับงูได้ที่นั้น และสายตาก็เหลือบไปเห็น ถุงดำ สิ่งที่พบในถุงตำรวจต้องตกตะลึงเพราะมันเป็นข้าวของเครื่องใช้ของ นางสาวเจนจิราเหยื่อหั่นศพซึ่งก่อนหน้านั้น นายเสริมอ้างว่าเผาทำลายทิ้งหมดแล้ว หลักฐานเพิ่มเติมนี้เป็นหลักฐานมัดตัวเสริม สาครราษฎร์ ให้หนักแน่นขึ้น
สรุปสำนวน และความเป็นจริงของ คดีหมอเสริม ได้ตามขั้นตอนต่อไปนี้
จากห้างเวิลด์เทรดฯ เสริมใช้วาจาลวงให้เจนจิรา ตามเขาไปที่คอนโด ซึ่งเป็น คดีหมอเสริม หอพักของเขาย่านฝั่นธนฯได้สำเร็จ ทั้งคู่เกิดมีปากเสียงกันอย่างรุนแรง ในขณะที่เธอเข้าห้องน้ำนั้น ด้วยโทสะสุดขีดเขาใช้อาวุธปืนจ่อยิงศีรษะของเธออย่างโหดเหี้ยม ทันทีที่เธอเปิดประตูห้องน้ำออกมา
การชำแหละศพเจนจิรา เกิดขึ้นที่ห้องน้ำที่พักของเขาเอง หลักฐานก็คือที่ห้องพักโรงแรม 99 ตำรวจไม่พบ คราบเลือด เส้นผม และชิ้นเนื้อใด ๆ ในบ่อเกรอะของโรงแรมแม้แต่น้อยแต่ในห้องน้ำของเขา และบ่อเกรอะ ตำรวจพบทั้งคราบเลือด และเศษมนุษย์ จำนวนมาก เมื่อผลการพิสูจน์ดีเอ็นเอ ยืนยันแล้วว่าเป็นของเจนจิราจริง
จากนั้นก็มีการพบ กะโหลกศีรษะของมนุษย์ โดยชาวบ้านใน แม่น้ำบางปะกง ทอดแหไปเจอเข้า เมื่อทางนิติเวชนำมาตรวจพิสูจน์ภาพเชิงซ้อน ลักษณะของฟัน และดีเอ็นเอ แล้วพบว่าเป็นของเจนจิรา
ลาก่อน เจนจิรา หากชาติหน้ามีจริง เราคงได้พบกันอีก
เสริมขับรถของเจนจิรา กลับมาโรงแรมเฟิร์สต์ อีกครั้งขนถ่ายเสื้อผ้าข้าวของเครื่องใช้ทั้งหมดของเธอ มาใส่รถของตัวเอง แล้วขับรถแฟนสาวไปทิ้งหน้าบริษัท ทีแอนด์ที โอเพ่นนิ่ง จำกัด ในหมู่บ้านเมืองทองธานี ถนนแจ้งวัฒนะ
จากนั้น เปรี้ยวหั่นแอ๋ม ก็ต่อรถแท็กซี่ กลับเอารถของตัวเอง กลับไปหอพักเก็บของเสร็จสรรพแล้ว เขาไม่ยอมนอน เขาขับรถต่อไปยังบ้านเพื่อนสนิทคนหนึ่งในย่านบางพลัด ถนนจริญสนิทวงศ์ เมื่อเวลาสว่างพอดี เขาขอให้เพื่อนล้างรถ เสร็จแล้ว เดินทางไปหอพัก เพื่ออาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้า และขับรถไปบ้านเกิดที่จังหวัดชลบุรี เพื่อเผาทำลายเสื้อผ้า ข้าวของเครื่องใช้ของเจนจิราจนหมดสิ้น
สิ้นควันไฟ เขาถอนหายใจ ทุกอย่าง ถูกทำลายย่อยยับจนหมดสิ้น ไม่ให้ตำรวจสาวตัวมาถึงเขาได้ แน่นอนถ้าไม่มีหลักฐาน ไม่มีศพ ก็ไม่มีใครเอาผิดเขาได้ ผลสุดท้าย เสริม สาครราษฏร์ ถูกตัดสิน จำคุกตลอดชีวิต ทุกวันนี้ นายเสริม ได้รับการ อภัยโทษ ถึง 5 ครั้ง จึงได้ออกมาใช้ชีวิตนอกคุกและทำการเปลี่ยนชื่อเป็น นายไชยา ตันทกานนท์