พิกุลทอง นิทานพื้นบ้านของไทย สมัยอยุธยา

 

พิกุลทองพิกุลทอง นิทานพื้นบ้านของไทย ผู้หญิงที่มีพิกุลทองร่วงจากปากและผมหอม 

พิกุลทอง นี้เป็น นิทานพื้นบ้านของไทย หนึ่งใน ละครนอก  14 เรื่อง ที่นิยมนำมาเล่นกันมากเรื่องหนึ่งตั้งแต่ครั้ง สมัยอยุธยา ปัจจุบันยังพบว่า มีต้นฉบับหนังสือตัวเขียนที่เหลือรอด จากการถูกพม่าทำลายคราวเสียกรุง เก็บรักษาไว้อยู่ที่ หอสมุดแห่งชาติ

ผู้แต่งคงมีจุดประสงค์ เพียงไว้สำหรับเล่น ละครนอก เท่านั้น แม้การบอกเพลงหน้าพาทย์ก็ไม่ชัดเจนแน่นอน มีตอนที่กล่าวถึง พระสังข์ศิลป์ชัยและนางศรีสุพรรณ ซึ่งเป็นตัวละครจากบทละครนอกเรื่อง สังข์ศิลป์ชัย พร้อมทั้งมีของวิเศษที่เหมือนกันทุกประการ อันได้แก่ สังข์ ศร และพระขรรค์ จึงสันนิษฐานว่า ผู้แต่งคงมีจุดประสงค์ดำเนินเรื่อง ให้เป็นภาคต่อจากเรื่อง สังข์ศิลป์ชัย

พิกุลทอง ลักษณะเด่น ผู้หญิงที่มีพิกุลทองร่วงจากปากและผมหอม

พิกุลทอง เป็นธิดาของ ท้าวสัณนุราช กับพระมเหสี คือ นางพิกุลจันทรา ผู้ครองเมืองสรรพบุรี ใน นิทานพื้นบ้านของไทย สมุดไทยเขียนว่าเมือง สันทบุรี เมื่อย่างเข้าวัยรุ่นสาว ความงามของนาง เป็นที่เลื่องลือว่า ยากที่จะหาผู้หญิงคนไหนเสมอเหมือนได้

ซึ่งนอกจากเวลาพูดกับใคร ผู้หญิงที่มีพิกุลทองร่วงจากปากและผมหอม จะมี ดอกพิกุลทองร่วงจากปาก แล้วยังมีเส้นผมที่หอม อีกด้วย แม้ว่าผมของนางพิกุลทอง จะร่วงมานานแค่ไหนก็ตาม

ต้นเหตุของการเกิดเรื่อง นิทานพื้นบ้านของไทย นางพิกุลทอง

มีอยู่วันหนึ่ง นางพิกุลทอง เกิดร้อนรุ่มกลุ้มอุรา จึงได้ขออนุญาต ท้าวสัณนุราช ไปเล่นน้ำกับ อนิเมะ พระพี่เลี้ยงในลำธาร ท้าวสัณนุราชจึงให้วางตาข่าย และทุ่นไว้รอบท่าน้ำ เพราะโหรทำนายว่านางจะต้องพลัดพรากจากเมือง

จะกล่าวถึงพญาแร้งชื่อว่า ท้าวสุบรรณปักษา บินมาเห็นซากสุนัขเน่า จึงโฉบนำกลับไปจิกกิน ลอยมาใกล้บริเวณที่นางพิกุลทองกับพี่เลี้ยงเล่นน้ำอยู่ นางพิกุลทองได้กลิ่นเหม็นเน่า จึงใช้ให้พี่เลี้ยงไปดู ก็พบพญาแร้งกำลังกินซากนั้นอยู่ จึงได้พากันด่าว่าแล้วขับไล่ ด้วยคำหยาบช้าต่างๆ นานา

ฝ่ายท้าวปักษา ก็โกรธจัดกล่าวว่า สุนัขเน่านี้ คือ อาหารของตนอยู่แล้ว นางพิกุลทอง เป็นลูกเจ้าท้าวพระยา ไม่น่ามากล่าวเจรจาด่าว่าขับไล่ตนเช่นนี้ ว่าแล้วก็บินหนีไป แต่ท้าวปักษีก็ยังคิดจะแก้แค้นนางพิกุลทองให้ได้ จึงออกอุบายแปลงกายเป็นหนุ่มรูปงาม ไปขออาศัยอยู่ที่กระท่อมท้ายสวนขวัญ ของเมืองสรรพบุรี

แล้วคอยเสกทองคำให้ 2 ตายายใช้จนกลายเป็นเศรษฐี โดยบอกว่าตนไปพบ ตอนขุดเผือกมัน อยู่มาวันหนึ่ง จึงขอร้องให้ 2 ตายาย เข้าไปสู่ขอนางพิกุลทองมาเป็นภรรยา 2 ตายายฟัง แล้วหัวใจแทบวาย กล่าวว่าคิดเกินตัวอย่างนี้ จะถูกประหารเจ็ดชั่วโคตร

ท้าวปักษาแปลง จึงแกล้งแสดง ทำเป็นตรอมใจใกล้ตาย 2 ตายาย จึงจำใจเข้าไปทูลสู่ขอ นางพิกุลทองจากท้าวสัณนุราช ได้ทราบความดังกล่าวก็โมโหหนักมาก กล่าวว่าถ้าคิดว่าหลานชายมีบุญวาสนา จะได้คู่กับนางจริง ใกล้สร้างสะพานเงินสะพานทอง จากท้ายสวนมาถึงพระราชวังภายใน 3 วัน

ไม่อย่างนั้นแล้ว จะประหารทั้งโคตร 2คนตายาย หลังจากกลับมาถึงบ้านแล้วก็นั่งซึม เอาแต่ร้องไห้แล้วต่อว่าท้าวปักษา ที่หาเรื่องเดือดร้อนมาให้ตน ครั้นท้าวปักษา ได้ทราบเรื่องต้องสร้างสะพานทองแล้ว จึงกล่าวปลอบใจว่า ถ้าตนทำไม่เสร็จจะยอมตายแทนทั้งคู่

2ตายายจึงค่อยโล่งใจบ้าง พอตกค่ำท้าวปักษา ก็บอกว่าจะขอออกไปทำธุระข้างนอก จากนั้นก็แปลงเป็นพญาแร้งขนาดมหึมา บินกลับไปยัง เขานินทะกาลา แล้วเกณฑ์ไพร่พลทั้งหลาย ให้มาช่วยสร้างสะพานจนแล้วเสร็จ

พิกุลทอง ได้ออกเดินทางไปกับ ท้าวปักษา

ครั้นรุ่งเช้า ท้าวสัณนุราชกับพระมเหสีมอง ออกไปเห็น สะพานเงินสะพานทอง เป็นอัศจรรย์ เสร็จตามข้อตกลงดังกล่าว จึงคิดว่ามาณพผู้นี้คงจะมีบุญ แล้วจัดอภิเษกสมรสนางพิกุลทอง ให้กับท้าวปักษาและนางพิกุลทอง

ซึ่งตลอดเวลาเมื่ออยู่ใกล้กัน นางพิกุลทองก็ได้กลิ่นสาบแร้ งจนเวียนหัวบ่นว่าต่างๆ นานา ส่วนท้าวปักษา ก็มิอาจจะเข้าใกล้สมัครสังวาสได้ เพราะไม่ได้นึกรัก ประกอบกับเทวดาดลใจ คงมีแต่ความแค้นที่นางเคยด่าว่า

ครั้นอยู่มาได้ 3 วัน ท้าวปักษาจึงออกอุบายว่า จะชวนนางกลับไปกราบบิดามารดาของตน จากนั้นก็พากันลงเรือสำเภา 500 ลำล่องไปได้ 3 เดือน ก็มาถึง หาดแก้วพยัคฆีหน้าเมือง ท้าวปักษาจึงให้นาง รออยู่ในเรือเพื่อจะขึ้นไปแจ้ง ให้บิดามารดาตนทราบก่อน

แท้ที่จริงท้าวปักษา กลับไปเกณฑ์บริเวณนกแร้งทั้งหลาย ให้มากินคนบนเรือเสียให้หายแค้น ส่วนนางพิกุลทองนั้น ตนจะจัดการกินเองห้ามนกตัวไหนแตะต้อง มีโทษถึงตาย ฝูงนกก็ดีใจพากันบิน มาจับไพร่พลบนเรือกินเสียหมดทั้ง 500 ลำ

ส่วนนางพิกุลทองนั้น ได้รับความช่วยเหลือจาก แม่ย่านาง วิญญาณประจำเรือ รู้ว่าพญาแร้งคิดไม่ซื่อ จึงเนรมิตห้องคูหา แล้วนำนางพิกุลทองไปซ่อนไว้ใน ปลายเสากระโดงเรือ พญาแร้งโกรธมากด่าว่าลูกน้องไม่เชื่อฟัง หาว่ากินไม่ดูตามาตาเรือ ดันไปกินเอานางพิกุลทองไปด้วย แล้วก็พากันบินกลับไป

แต่พระยาแร้ง ก็ยังไม่แน่ใจว่านาง พิกุลทอง ตายจริง ก็จึงให้บริวารบางส่วนคอยเฝ้าดูเรือไว้ ฝ่ายแม่ย่านางครั้นเห็นพญาแร้งกับบริวารบินกลับไปหมดแล้ว จึงได้พานางพิกุลทองออกมาจากที่ซ่อนเพื่อสรงน้ำ เส้นผมของนางที่ไม่เคยหลุดร่วงเลย ก็ร่วงลงมา นางสงสัยว่าจะมีเหตุการณ์เกิดขึ้น

นางจึงเสี่ยงทาย เสยเอาเส้นผม และดอกพิกุลทองใส่ผอบพร้อมจารึกชื่อ และเรื่องราวลงไปด้วย เพื่อหาผู้มีบุญมาช่วยเหลือ ผอบทองลอยไปจนถึง เมืองพรหมกุฏปัญจาละ ซึ่งมี พระสังข์ศิลป์ชัย และ นางสุพรรณ ปกครอง มีพระโอรสเก่งกล้าองค์หนึ่งชื่อ พระพิชัยมงกุฏ

พระพิชัยมงกุฏ ออกตามหา ผู้หญิงที่มีพิกุลทองร่วงจากปากและผมหอม

นิทานพื้นบ้านของไทย ขณะนั้นทั้ง 3 กษัตริย์ได้มาอาบน้ำ ที่ท่าน้ำนอกเมือง เห็นผอบทองลอยทวนน้ำมา พระพิชัยมงกุฏ จึงเสี่ยงพระสังข์วิเศษไปกล่าวว่า ถ้ามาดีให้ช้อนขึ้นมา ถ้ามาร้ายให้สังข์วิเศษทำลายเสีย ปรากฏว่าสังข์ก็ไปช้อนผอบขึ้นมา

เมื่อเปิดข้อความดูเห็นเส้นผม ดอกพิกุล และจารึกเรื่องราว ก็ถึงกับหลงไหลกินไม่ได้นอนไม่หลับ พระสังข์ศิลป์ชัย ได้ทราบอาการก็ตกพระทัย พระพิชัยมงกุฏจึงขอลาไปตามหานางพิกุลทอง จึงโปรดให้สังข์ ศร และพระขรรค์วิเศษ ไปป้องกันตัวและให้จัดแต่งเรือสำเภา พร้อมไพร่พลไปตามประสงค์

กองเรือแล่นมาหลายวัน จนกระทั่งถึงเกาะใหญ่กลางทะเล ซึ่งเป็นเขตของ นางยักษ์กาขาว ซึ่งลอบเข้ามาในเรือด้วยความสงสัย ครั้นเห็นพระพิชัยมงกุฏ รูปร่างสง่างามก็หลงรัก จึงแอบอุ้มพาไปขณะหลับ แล้วเนรมิตเมืองขึ้นบนเกาะ แล้วแปลงเป็นหญิงสาวอยู่ในเมืองนั้น

ครั้นพระพิชัยมงกุฏ ตื่นมาเห็นบ้านเมือง กับหญิงงามก็เข้าใจว่า เป็นนางพิกุลทอง จึงได้ทำการจีบนาง จนได้เป็นภรรยา แต่ยังสงสัยว่าได้กลิ่นสาปสาง ผมไม่หอมของนางยักษ์กาขาว ตกดึกเทพารักษ์ จึงได้มาบอกให้รีบหนีไป เพราะนางเป็นยักษ์แปลงมา

แล้วบอกทางให้แล่นเรือ ไปทางตะวันออก สามวันก็จะถึงหาดแก้วพยัคฆี ครั้นพระพิชัยมงกุฏ เดินทางมาถึงเห็นกองเรือร้างจอดอยู่ จึงให้ไปค้นเรือทุกลำ ก็พบแต่กระดูก ฝ่ายนางพิกุลทองได้ยินเสียง จึงลาแม่ย่านางออกมาจากเสากระโดงเรือ และเข้าพบกับพระพิชัยมงกุฏ ด้วยความปรารถนาดี

เคราะซ้ำกรรมซัด นางยักษ์กาขาว กลับมาแก้แค้น

นิทานพื้นบ้านของไทย ผ่านไป 7 ปี หลังจากพิธีอภิเษกสมรสแล้ว ต่อมา พิกุลทอง ก็ประสูติพระโอรส 2 พระองค์ คนพี่มีนามว่า พระลักษณา ส่วนโอรสองค์รองนามว่า พระยมยศ อยู่มาวันหนึ่งทั้ง 4 กษัตริย์ก็เสด็จประพาสที่บึงบัว เพื่อเก็บบัวมาบูชาพระปฏิมา

ฝ่ายนางยักษ์กาขาว ครั้นรู้ว่าพระพิชัยมงกุฏ ได้อภิเษกกับนางพิกุลทองแล้ว ก็ให้เคียดแค้น เป็นยิ่งนักหมายจะทำร้ายนางพิกุลทองเสีย ให้หายแค้น จึงแปลงร่างเป็น ดอกบัวทอง อยู่ใต้น้ำ เมื่อเรือผ่านมานางพิกุลทอง เห็นเข้าก็ประหลาดใจ ในความงามจึงเอื้อมมือลงไปเด็ด

นางยักษ์กาขาวได้ทีจึงฉุดนางพิกุลทอง ลงไปใต้น้ำแล้วสาปให้กลายร่างเป็น นางชะนีพิกุลทอง จะพ้นสาปได้ก็ต่อเมื่อ นำเลือดของนางยักษ์กาขาวมาชโลมตัว ส่วนนางยักษ์กาขาวก็จดจำ และแปลงร่างเป็นนางพิกุลทองแทน ย้อนอ่าน ไซอิ๋วเป็น1ใน4วรรณกรรมเอกแห่งแดนมังกร

ครั้นพระพิชัยมงกุฏ ช่วยฉุดขึ้นมาครั้งแรก เป็นนางยักษ์กาขาวแปลง นางยักษ์กาขาว ก็รีบเป่ามนต์สะกดใส่พระพิชัยมงกุฏให้หลงใหล และอยู่ภายใต้อำนาจ พระรักและพระยม ก็ร้องไห้บอกว่าไม่ใช่คุณแม่ของตน แต่เมื่อเห็นนางชะนี พิกุลทอง ผุดขึ้น มาจากน้ำกลับร้องว่าเป็นคุณแม่และไม่ยอมกลับวัง

พระพิชัยมงกุฏด้วยมนต์สะกด ของนางยักษ์กาขาวจึงกริ้วขับไล่ ให้ไปอยู่กับนางชะนีพิกุลทองในป่า แล้วพระองค์ก็พานางยักษ์กาขาวแปลงกลับเข้าวัง 2คนพี่น้องร้องไห้ หาแม่ด้วยความหิวนม แต่นางชะนีพิกุลทองก็กำลังคลุ้มคลั่ง ด้วยมนต์ของนางยักษ์กาขาว คอยแต่จะหนีเข้าป่าท่าเดียว