กระสือ ผีไทยไม่แพ้ชาติใดในโลกเปิดกระสือตำนานผีไทย

กระสือ

ตำนานผีไทย กระสือ คืออะไร คือใคร มีที่มาอย่างไร

กระสือ เป็นผีชนิดหนึ่ง เชื่อกันว่าสิงสู่อยู่ในตัวของคนเพศหญิง ซึ่งโดยมากมักเป็นยายแก่ ชอบรับประทานของสดคาว มักออกหากินเวลากลางคืน และไปแต่หัวกับตับไตไส้พุง ส่วนร่างกายคงทิ้งไว้ที่บ้าน

เวลาไปจะเห็นเป็นดวงไฟดวงโตมีแสงสีแดง แต่ส่วนมากจะเป็นแสงสีเขียวเรืองวาม ๆ โดยจะเริ่มออกหากินตั้งแต่เวลาหัวค่ำไปจนถึงตลอดคืน และจะกลับเข้าร่างเวลาใกล้จะเช้า

เวลากลางวัน จะมีลักษณะร่างกายเหมือนคนทั่วไป แต่มีพฤติกรรมหรืออาการแบบแปลก ๆ ผิดปกติ เช่น ไม่ชอบสบตาคน เงียบ ๆ ไม่พูดไม่จากับใคร ชอบเก็บตัวอยู่คนเดียว บ้างก็ไม่ชอบแสงสว่างก็มี

กระสือ เริ่มมีมาตั้งแต่สมัยใด ไม่มีหลักฐานชี้ชัดได้ ซึ่งคนในสมัยโบราณมักจะเรียกว่า ผีลากไส้ และต่อมาก็จึงเรียกว่า กระสือหรือผีกระสือ ในสมัยปัจจุบันนี้

ผู้ที่เป็นกระสือนั้น มักจะเป็นผู้ที่ บูชาไสยศาสตร์มนต์ดำ เดรัจฉานวิชา แต่ทำผิดข้อห้าม จนกลายเป็น ผีไทยไม่แพ้ชาติใดในโลกเปิดกระสือตำนานผีไทย กระสือไปในที่สุด

กระสือ ตำนานผีไทย ผีไทยไม่แพ้ชาติใดในโลกเปิดกระสือตำนานผีไทย

โดยทั่วไปแล้ว กระสือจะไม่ทำร้ายคน ว่ากันว่าเมื่อกระสือ ออกหากินเวลากลางคืนแล้ว เมื่อพบกับคนก็จะลอยหนีหายไป ถ้าหากคนทำให้กระสือ เกิดความไม่พอใจ โกรธ กระสือจะมีความแค้น อาฆาตพยาบาท เมื่อกระสือได้ชำระแค้นกับคน ๆ นั้นแล้ว ก็อยู่ที่ว่าจะแค่บาดเจ็บ หรือถึงขั้นต้องตายเลย

ผู้หญิงบ้านไหนคลอดลูกใหม่ กลิ่นสดคาวของเลือด จะชักนำให้ผีกระสือมาและกินตับไตไส้พุงของหญิงที่คลอดลูก หรือของเด็กที่คลอดนั้น เหตุนี้ชาวบ้านจึงมักเอาหนามพุทราสะไว้ ที่ใต้ถุนเรือนตรงที่มีร่องมีรู เพื่อป้องกันมิให้กระสือเข้ามา เชื่อกันว่า กระสือกลัวหนามเกี่ยวไส้

นอกจาก ผีไทยไม่แพ้ชาติใดในโลกเปิดกระสือตำนานผีไทย ของสดของคาวแล้ว กระสือยังชอบรับประทานของโสโครกเช่นอุจจาระเป็นต้น เมื่อรับประทานแล้วเห็นผ้าของใครตากทิ้งค้างคืนไว้ก็เข้าไปเช็ดปาก ผ้านั้นจะปรากฏเป็นรอยเปื้อนดวง ๆ ถ้าเอาผ้านั้นไปต้มกระสือจะรู้สึกปวดแสบปวดร้อนปากทนไม่ไหวจนต้องมาขอร้องไม่ให้ต้มต่อไป

กระสือนั้น เมื่อถึงเวลาเจ็บปวด ใกล้จะตายก็ไม่ตายเด็ดขาด และจะต้องคายน้ำลายของตน ถ่ายเข้าปากลูกหลานคนใดคนหนึ่ง ไว้ให้สืบทายาทเป็นกระสือต่อก่อน ตนจึงจะตาย ได้โดยไม่ต้องทุกข์ทรมาน อีกต่อไป

ตำนานผีไทย อิทธิพลของความเชื่อเรื่องกระสือ

ราชบัณฑิตยสถานว่า ความเชื่อเรื่อง ผีไทยไม่แพ้ชาติใดในโลกเปิดกระสือตำนานผีไทย กระสือนี้ มีอิทธิพลต่อชีวิตประจำวันของคนไทยโบราณ หลายประการด้วยกัน ได้แก่ ผลกล้วยที่แกร็นทั้งเครือ จะเรียกว่า กล้วยกระสือดูด

คนตะกละกินหรือคนที่กินอย่างมูมมาม จะเรียกว่า คนตะกละ ว่าเหมือนผีกระสือ หรือ คนกินเหมือนผีกระสือ

โคมชนิดหนึ่งซึ่งมีที่เปิดปิดไฟได้ และมีแว่นฉายแสงไปได้วาบๆ เรียกว่า โคมตาวัว หรือ กระสือ

ไพลชนิดหนึ่งซึ่งเรืองแสงได้ในที่มืด เรียกว่า ว่านกระสือ

เห็ดจำพวกหนึ่งสามารถเรืองแสงได้ในที่มืด เรียกว่า เห็ดกระสือ

ณ ตำบลห้วยกะปิ อำเภอเมือง จังหวัดชลบุรี มีหมู่บ้านแห่งหนึ่ง ชื่อว่า หนองเกษม เดิมมีชื่อว่า หนองกระสือ ทั้งนี้มีเสียงร่ำลือกันว่าเมื่อปี พ.ศ. 2530 มีชาวบ้านพบเห็นกระสือที่นี่ ต่อมาจึงได้เปลี่ยนชื่อเพื่อลดความน่ากลัวลงนั่นเอง

กระสือ ตำนานผีไทย ในทางวิทยาศาสตร์

กระสือ มักได้รับการอธิบาย ในทางวิทยาศาสตร์ว่า คือ เมดูซ่า ดวงไฟที่ลุกโชนจากโมเลกุลของก๊าซมีเทน ที่เกิดจากการสะสมของซากเน่าเปื่อยของอินทรียสาร ในนาข้าวหรือท้องทุ่ง แต่ในทัศนะของ รองศาสตราจารย์ ดร.สิรินทรเทพ เต้าประยูร นักวิชาการผู้ศึกษาเรื่องพลังงานธรรมชาติแห่งมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี

เห็นว่า ไม่น่าจะเป็นไปได้ เพราะก๊าซมีเทนในนาข้าวนั้น ไม่ได้มีปริมาณมากพอที่จะเกิดการลุกไหม้ อีกทั้ง ถ้าลุกไหม้จริงก็จะปรากฏอยู่บริเวณ เฉพาะผิวหน้าของวัตถุ มิได้ลอยขึ้นไปในอากาศหรือเคลื่อนที่ได้

อีกทั้ง ในทางกายวิภาค ร่างกายมนุษย์เมื่อถอดส่วนหัวแล้ว อวัยวะส่วนอื่น ๆ เช่น ไส้ หัวใจ หรือปอด ก็จะไม่ติดออกมาด้วย

ผีไทยไม่แพ้ชาติใดในโลกเปิดกระสือตำนานผีไทย กับกระสือในประเทศต่างๆ

ตำนานผีไทย กระสือในกัมพูชาเรียกว่า เอิบ มีการสันนิษฐานว่า กระสือมีที่มาจากประเทศกัมพูชา โดยเกิดจากผู้ที่ บูชาไสยศาสตร์มนต์ดำเขมร แล้วทำผิดข้อห้าม

ตำนานผีไทย ในลาวเรียก กะสือ ในเวียดนามเรียก มาลาย ในแถบมาเลเซีย ยังมีเรื่องของผี ที่มีลักษณะคล้ายกระสือของไทยด้วย เรียกว่า ฮันตูปินังกาลัน หรือปินังกาลัน

มีเรื่องเล่าว่า ครอบครัวหนึ่งประกอบไปด้วย พ่อ แม่ ลูก วันหนึ่งในตอนกลางคืน ผู้เป็นพ่อได้ออกไปธุระข้างนอกบ้าน ผู้เป็นแม่ปิดประตูอยู่ในห้อง แล้วนางก็หยิบเอาขวดน้ำมันมนต์มาทารอบคอ

สักพักหัวกับตัวของนางก็แยกออกจากกัน โดยมีตับไตไส้พุงห้อยติดออกมาด้วย เวลาที่ออกหากินจะเห็นเป็นแสงสีเหลือง และมีเสียงดังดุจลมพัดตลอดเวลาที่นางลอยไปเพื่อขับไล่สัตว์เล็กสัตว์น้อย ที่จะเข้ามายุ่งกับพวงไส้ของนาง

ผู้เป็นลูกได้แอบเห็นดังนั้น จึงลองเอาน้ำมันมนต์ของแม่มาลองทาดูบ้าง ขณะที่หัวกำลังจะแยกออกจากตัว เด็กน้อยเกิดกลัวจนร้องโวยวายออกมาว่า ช่วยด้วย หัวของฉันกำลังจะหลุดออกจากตัวแล้ว

จนชาวบ้านละแวกนั้นได้ยินกันทั่ว แต่ไม่มีใครกล้าเยี่ยมหน้าเข้ามาให้ความช่วยเหลือ จนกระทั่งหัวของผู้เป็นแม่ลอยกลับมา เสียงร้องโวยวายก็เงียบลง หลังจากวันนั้น ครอบครัวนั้นก็ย้ายหนีไปจากที่นั่น และไม่มีใครได้พบเห็นอีกเลย

ซึ่งความแตกต่างของ ฮันตูปินังกาลัน และกระสือ ต่างกันที่สีของดวงไฟ ที่กระสือจะเป็นสีเขียวหรือแดง และฮันตูปินังกาลันจะเป็นสีเหลือง อีกทั้งฮันตูปินังกาลันยังมีความดุร้ายกว่าด้วย

ตำนานผีไทย ที่ฟิลิปปินส์ มีความเชื่อเรื่องมานานังเกล ผีดูดเลือดที่มีปีกเหมือน ค้างคาวขนาดใหญ่อยู่ด้านหลัง เมื่ออกล่าเหยื่อจะถอดลำตัวท่อนบนออก แล้วบินไปในอากาศในเวลากลางคืน รวมถึง ยังชอบที่จะกินเด็กทารกจากครรภ์ผู้เป็นแม่อีกด้วย

ที่ประเทศญี่ปุ่นก็มีเรื่องเล่าเกี่ยวกับ ปีศาจที่สามารถถอดหัวหากินได้ ในเวลากลางคืน เรียกกันว่า นุเกะ-คุบิ อาศัยอยู่แถบภูเขาบริเวณมณฑลไค จนซามูไรผู้กล้าผู้หนึ่งที่เลิกจากการเป็นซามูไรแล้ว ได้บวชเป็นพระธุดงค์ผ่านไป

หัวหน้าปีศาจในร่างมนุษย์ ก็ได้นิมนต์ให้ไปพักที่บ้าน ในเวลากลางคืนพระก็ตื่นขึ้นมากลางดึก หวังจะดื่มน้ำโดยไม่รบกวนเจ้าบ้าน ขณะผ่านไปยังห้องที่เหล่าปีศาจนอนกันพบว่า

ทั้งหมดเป็นร่างที่ไม่มีหัวแล้ว พระตามไปดูนอกบ้าน พบเป็นหัวปีศาจ 3-4 หัวล่องลอยไปมา ใช้ลิ้นตวัดกินมดปลวกตามพื้น และคุยกันว่าจะกินพระในเวลาก่อนรุ่ง พระเลยลากเอาร่างที่ไร้หัวเหล่านั้นไปซ่อนไว้

เมื่อปีศาจกลับไปดูที่บ้านไม่พบ ทั้งพระและร่างของตัวเอง เลยตกใจและโกรธจัด ทั้งหมดได้รุมทำร้ายพระ แต่ไม่อาจทำอะไรพระได้ เพราะพระเคยเป็นซามูไรมาก่อน ก็ตายลงเมื่อถึงเวลาเช้า

แต่หัวของหัวหน้าปีศาจ ก็ได้กัดติดกับจีวรพระไม่สามารถถอดออกได้ ต่อมา มีโจรผู้หนึ่งได้ขอซื้อ หนังออนไลน์ หัวปีศาจนี้จากพระ โจรหวังจะใช้หัวปีศาจนี้ หลอกผู้คนเอาเงิน แต่ต่อมากลัวปีศาจจะมาเอาคืน เลยทำสุสานฝังให้ ว่ากันว่าสุสานแห่งนี้ยังมีให้เห็น จวบจนถึงทุกวันนี้